ซินจ่าว......เวียดนามกลาง
“ซินจ่าว....เวียดนาม” คำนี้คือมนต์เสน่ห์แห่งการต้อนรับนักเดินทางในรูปแบบคาราวานเยือนอินโดจีนอย่างเราเรา และอบอวลด้วยกลิ่นไอแห่งมิตรภาพจากชาวเวียดนาม
เว้ – ดานัง – ฮอยอัน เป็นเมืองมรดกโลกแห่งวัฒนธรรมในเวียดนามตอนกลาง แม้จะมีประเทศลาวกั้นกลางอยู่ก็ตาม ทว่าไม่ยากสำหรับการเดินทางของชาวคาราวาน “ เนเจอร์คลับไทยเลนด์ “
มุกดาหาร _______จังหวัดชายแดนไทย-ลาว โดยมีแม่น้ำโขงกั้นแบ่งเขตโดยธรรมชาติ และเป็นด่านพรมแดนที่มีเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศที่เจริญมากและยังเป็นจังหวัดที่เพิ่งจะมีอายุแค่ 25 ปี เท่านั้น โดยเมื่อก่อนนั้นเป็นเพียงอำเภอเล็ก ๆ ที่ขึ้นอยู่กับจังหวัดอุบลราชธานี ครับผม
และที่นี่ ก็เป็นจุดเริ่มต้นนัดพบรวมพลชาวคาราวาน ณ โรงแรมพลอยพาเลช เป็นโรงแรมใหญ่ที่สุด ของจังหวัดนี้
รถทุกคันจะต้องติดสติ้กเกอร์เบอร์รถเรียงลำดับในการเรียกขาน และเพื่อความเป็นระเบียบปลอดภัยในการขับขี่ พร้อมติดตั้งวิทยุประจำรถเพื่อฟังรายงานการจราจรในต่างแดน จากรถนำขบวนของกับตันทีม หรือคาราวานลีดเดอร์ “ สมศักดิ์ ดีไสว “ นั่นเอง สรุปว่าการเดินทางในครั้งนี้มีรถร่วมการเดินทาง ทั้งหมด 15 คัน จำนวนคนก็ 51 คนครับ แต่ก่อนที่จะเดินทางในวันรุ่งขึ้น เย็นวันแรกนี้จะต้องพบปะและฟังการบรรยาย กติกาการเดินทางในรูปแบบคาราวานและแนะนำตัวผู้ร่วมเดินทางกันก่อน
เริ่มต้นการเดินทางที่มุกดาหาร ข้ามสะพานมิตรภาพไทย – ลาว - สะหวันนะเขต – เมืองพิน – ลาวบาว - เว้ – ดานัง – ฮอยอัน- กองตุม – บ่อเกลือ - อัตตะปือ – เซกอง – ปากเซ – จำปาสัก และกลับสู่ด่านช่องเม็ก จังหวัดอุบลราชธานี
นี่คือเส้นทางคาราวานไทย ลาว เวียดนาม สำหรับทริปนี้โดยเดินทางเป็นวงกลมไม่ซ้ำทางเดิมครับ การขับรถต้องเรียงตามเบอร์รถเพื่อสะดวกกับการเรียกขานโดยไม่มีการขับแซงกันเพื่อความปลอดภัย นี้คือหัวใจของการเดินทางในรูปแบบคาราวาน เมื่อทุกท่านปฎิบัติตามกติกาแล้วจะท่องเทียวด้วยความสนุกปลอดภัยครับ
เช้าแห่งการเดินทางทุกคนก็ตื้นเต้นกับการขับรถในต่างแดนเพราะ ลาว - เวียดนาม นั้นต้องขับรถชิดขวา แต่รถของเราพวงมาลัยอยู่ด้านขวาและชิดซ้ายขบวนรถเตรียมพร้อมหน้าโรงแรมพลอยทุกคนเช็ควิทยุสื่อสาร รหัส 01 เป็นการเรียกขาน รถนำขบวนและแทนตัวผู้ขับ ซึ่งก็คือ สมศักดิ์ เช่นเคยครับ รถทุกคันพร้อมออกเดินทางมุ่งหน้าสู่สะพานมิตรภาพ ไทย – ลาวแห่งที่สอง รองจาก จังหวัดหนองคาย และกำลังจะสร้างสะพานแห่งที่สามในอนาคตข้างหน้า ที่ อำเภอเชียงของจังหวัดเชียงรายที่เป็นส่วนหนึ่งของถนนสาย R3E เชื่อมกรุงเทพ-คุนหมิงที่อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจการค้าที่สำคัญของอาเซียนนั่นแหละครับ แต่ การเดินทางในครั้งนี้เราจะเดินทางบนเส้นทางสาย R9 ไทย – ลาว – เวียดนาม
สะบายดี เจ้า เสียงทักทายของไกด์ ชาวลาว ซึ่งก็แปลว่า สวัสดี นั่นเองพวกเราก็ตรวจเอกสารเข้าประเทศลาวด้วยความชื่นมื่นและได้รับการ "ฮับต้อน" คณะคาราวานด้วยความอบอุ่นเข้าสู่แขวงสะหวันเขต เป็นแขวงที่อยู่ตอนกลางของประเทศลาวและเป็นเมืองเศรษฐกิจที่ดีมีการค้าระหว่างไทยและเวียดนามปัจจุบันการขนส่งสินค้าผ่านแดนนั้นสะดวกสบายมากเพราะมีสะพานเชื่อมไปมาแตกต่างกับเมื่อก่อนต้องขนส่งสินค้ากันทางเรือยามฤดูน้ำน้อยจะลำบากพอสมควร ดังที่เราเคยเห็นข่าวในทีวี ก่อนมีการเปิดสะพาน เมื่อราวสองปีก่อน ที่ทางจีนสร้างเขื่อนกักน้ำตอนบน ทำให้แม่น้ำโขงตอนล่างระดับน้ำแห้งเหือดไปมากในหน้าแล้ง การนำรถสินค้าข้ามฟากระหว่างไทย-ลาวด้วยแพขนานยนต์ ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะน้ำน้อย การเดินเรือใหญ่ๆก็ติดแก่งหิน และท้องทรายกลางน้ำโขง เมื่อสะพานเปิดใช้ได้ ปัญหาเหล่านี้ก็หมดไป ดังนั้น ค่าบำรุงสะพานก็ไม่แพงเลยครับถ้าแลกกับความสะดวกสบายเช่นนี้
สายหน่อยขบวนก็ออกจากพระธาตุอิงฮังก็มุ่งหน้าสู่ชายแดนลาว – เวียดนามระยะทาง 240 กม. ตามเส้น
ทางหมายเลข 9 ผ่านเมืองเล็ก ๆ ระหว่างทาง “ ทุกท่านครับ “ เสียงวิทยุดังจาก 01 “ ขณะนี้เรากำลังเข้าสู่เมืองเซโน อาณาเขตของเมืองเล็ก ๆแห่งนี้ กำลังจะเป็นการเขตอุตสาหกรรม การลงทุนระหว่างประเทศ ในอนาคตจะมีการก่อสร้างโรงงานและโรงแรมหลายแห่งตอนนี้ก็มีโรงงานประกอบรถยนต์ของเกาหลียีห้อ ฮุนได เข้ามาตั้งอยู่เพื่อเป็นฐานประกอบรถยนต์หกล้อเล็กให้พี่น้องชาวลาวซื้อใช้เป็นจำนวนมากและติดยี่ห้อโกลาว ครับ จะเห็นวิ่งอยู่ทั่วประเทศลาว “
จากเมืองเซโน เราก็ผ่านเมืองพลานชัย และแวะรับประทานอาหารกลางวันที่เมืองพิน ร้านอาหารก็มีให้เลือกหลายร้าน จากเมืองพินไปถึงชายแดนลาว-เวียดนามก็ไม่ไกล แค่ 6-7 กิโลเมตรเท่านั้น ถนนหนทางก็สะดวกสบายลาดยางอย่างดีถนนเส้นนี้ก็ได้รับการช่วยเหลือทางงบประมาณจากญี่ปุ่นครับ
ที่ด่านชายแดนลาวเขาก็จะเรียกว่า “แดนสวรรค์” เป็นชื่อที่มีความสุขแต่ไม่มีอะไรน่าสนใจ เป็นเพียงด่านสากลระหว่างประเทศแต่ก็เป็นหน้าด่านการค้าที่สำคัญของประเทศลาว คณะเราตรวจเอกสารผ่านแดนโดยใช้เวลาไม่นานนักจากนั้นก็เข้าสู่ประเทศที่สาม นั้นคือ “ เวียดนาม ” ที่ด่าน “ลาวบาว”“
ซินจ่าวกับ ชาวคาราวานเนเจอร์คลับไทยแลนด์ เสียงใส ๆ ของไกด์ชาวเวียดนามที่กล่าวต้อนรับด้วยภาษาไทยที่ยังไม่แข็งแรงนัก
“ ลาวบาว ” เป็นเขตเศรษฐกิจการค้าที่เวียดนามให้ความสำคัญมีนิคมอุตสาหกรรม มีโรงงานมากมาย รวมทั้งมีของนักธุรกิจชาวไทยมาทำโรงงานหลายบริษัท หนึ่งในนั้นก็มี “ เครื่องดื่มกระทิงแดง” แล้วก็สินค้าปลอดภาษีให้พวกเราได้ช็อบปิ้งด้วยครับ จากลาวบาว ก็มุ่งหน้าเข้าสู่นครเว้ ระยะทางราว 150 กม. ผ่านหมู่บ้านและเมืองต่าง ๆ มีเมืองใหญ่เช่น กวางตรี บนเส้นทาง ของเวียดนามนั้นจะเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ในอดีตไม่ว่าจะเป็นสงครามภายในประเทศเอง หรือสงครามในสมัยฝรั่งเศสล่าอาณานิคม รวมทั้งสงครามต่อสู้กับอเมริกา แต่เวียดนามก็ยังนับว่าเป็นประเทศที่
สวยงาม มีอารยธรรมยาวนาน หลายเมืองในเวียดนามก็ได้รับการประกาศให้เป็น “มรดกโลกแห่งวัฒนธรรมและธรรมชาติ” โดยองค์การยูเนสโกครับ
“เวียดนาม” เป็นประเทศที่มีอนาคตสดใสในรูปแบบการเติบโตอย่างก้าวกระโดดทางเศรษฐกิจและการลงทุน มีภูมิประเทศที่ติดกับทะเลตั้งแต่เหนือจรดใต้ มีประชากราว 60ล้านคนมีเมืองหลวง ชื่อ “ ฮานอย ” ปัจจุบันการปกครองเป็นรูปแบบสังคมนิยมมีรัฐบาลพรรคเดียว หากผมจะเล่าให้ฟังก็คงใช้เวลาอีกหลายวัน ขอแค่พอสังเขปนะครับ
เวียดนามในอดีตที่ผ่านมาก็มีการปกครองในระบอบกษัตริย์ มีราชวงค์ต่าง ๆที่สืบทอดอำนาจกันมานับร้อยๆปี โดย เช่น ราชวงค์โง ราชวงค์ดิงด์ ราชวงค์เดียนเล ราชวงค์หลี ราชวงค์โฮ จนมาถึงราชวงค์ เหวียน ในปี พ.ศ.2335 – 2426 เป็นราชวงศ์สุดท้าย หลังจากนั้นก็ตกอยู่ในการปกครองของนักล่าอาณานิคมของตะวันตกนั่นก็ คือ ฝรั่งเศส เป็นเวลานานนับสิบ ๆ ปีครับ
คณะคาราวานของพวกเราออกจากลาวบาว บ่ายโมงกว่า วันนี้โชคไม่ค่อยดีนักมีพายุฝนฟ้าคะนอง อากาศปิด แต่เราชาวคาราวานก็เดินทางต่อไปโดยไม่หวั่นต่อสภาพอากาศ ออกจากลาวบาวก็ฟังรายงานกันเรื่อยๆจาก 01 พร้อมกับชมบรรยากาศของบ้านเมือง “ อ้าวทุกท่านครับ ขอให้ทุกท่านดูพี่น้องชาวเวียดนามหากท่านใดเห็นคนเวียด ลงพุง ไม่ว่าผู้หญิงหรือชายมารับเงินที่ 01 ได้คนละ ร้อยบาท ครับ ”
เวียดนามกับประวัติศาสตร์ และการท่องเที่ยวเป็นของคู่กัน การเดินทางหากรู้ประวัติศาสตร์สักนิดก็จะทำให้การท่องเที่ยวมีอรรถรสและเข้าใจความเป็นอยู่ของชนชาตินั้นๆมากยิ่งขึ้น การปกครองในระบบราชวงศ์ที่มีมานานแสนนาน แต่องค์ที่โดงดัง เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวดีก็คือ “กษัตริย์ไคดิงห์” เพราะมีการสร้างสุสานที่ใหญ่โตงดงามมาก อีกพระองค์ที่ดังไม่แพ้กันก็คือ “กษัตริย์หมิงหม่าง” ปัจจุบันยังเป็น ชื่อ เหล้าขาวอันทรงพลัง คือ “เหล้าหมิงหม่าง” ด้วย เนื่องจากพระองค์มีพระชายานับร้อย จึงเชื่อกันว่าพระองค์ทรงโด๊ปเหล้าเสริมพลังนั่นเอง แต่น่าเสียดายที่พระองค์อายุไม่ยืนยาวนัก
ในยุคปี พ.ศ. 2401 นักล่าอาณานิคมชาวฝรั่งเศสก็เริ่มเข้ามามีบทบาทและยึดประเทศเวียดนามโดยยกพลขึ้นบกที่ดานังเพื่อขยายอิทธิพลทางการค้า การทหาร ด้วยสาเหตุที่กษัตย์หมิงหม่าง มีนโยบายต่อต้านพวกคาทอลิกและมีการสั่งประหารมิชชันนารีคาทอลิกชาวฝรั่งเศส ก็เลยทำให้ฝรั่งเศสนำมาเป็นข้ออ้างในการเข้ายึดประเทศเวียดนามในปี 2504 โดยเข้ายึดเมืองไซ่ง่อน และผนวกหัวเมืองต่าง ๆรวมกันแบบเบ็ดเสร็จได้ในปี 2410 ตั้งแต่นั้นมา หลังจากเวียดนามได้สูญเสียเอกราช ก็ทำให้ชาวเวียดนามไม่พอใจที่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ก็มีการต่อสู้กันเรื่อยมามีการก่อตั้งกลุ่มชาตินิยมองศ์กรลับใต้ดิน ประกอบไปด้วยขุนนางและนักวิชาการต่าง ๆ จนถึงยุคของ “ โฮจิมินห์ ” นักคิดแห่งการต่อสู้ทางสติปัญญามีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ฝรั่งเศสขึ้นมาในปี 2464 เพื่อปลดปล่อยประเทศ แต่การต่อสู้ของ โฮจิมินห์ เป็นประวัติศาสตร์ ที่ยิ่งใหญ่,มากจะเขียนหรือเล่านั้นต้องใช้เวลายาวนานเช่นกัน เอาเป็นว่ายกไปโอกาสอื่นนะครับ เพราะขณะนี้ขบวนจะถึงเมืองเว้ ซึ่งเป็นนครหลวงของเวียดนามในอดีตแล้ว
พอถึงยุคสงครามโลกครั้งที่สองญี่ปุ่นมาบุกยึดครองเวียดนามได้โดยรวดเร็วราวในปีพ.ศ. 2483 ญี่ปุ่นประกาศให้เวียดนามเป็นอิสระจากฝรั่งเศสแต่อยู่ภายใต้การคุ้มครองของญี่ปุ่นโดยมี “กษัตริย์เบาได๋” เป็นประมุข แต่ก็เป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้นญี่ปุ่นก็แพ้สงคราม “ โฮจิมินห์” ต้องหลบหนีเข้าสู่ป่าเขาและมีการประกาศก่อตั้งสันนิบาตปฏิวัติ เป็นที่รู้จักก็คือ “เวียดมินห์” เพื่อปลดแอกเวียดนามให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และ อยู่ภายใต้การนำของคอมมิวนิสต์
เวียดนามในยุคปี 2488 รัฐบาลไม่เข้มแข็ง กษัตริย์เบาได๋ ก็ไม่มีอำนาจเป็นเพียงหุ่นเชิด โฮจิมินห์ก็พยายามที่จะสถาปนาตัวเองให้ป็นผู้นำทางการเมืองร่วมกับกลุ่มผู้รักชาติโดยเข้ายึดพื้นที่ทางภาคเหนือที่ฮานอยและเข้ายึดนครเว้แล้วก็ปลดกษัตรย์เบาได๋ลงจากตำแหน่ง และตั้งรัฐบาลที่กรุงฮานอย จากนั้นก็ประกาศสถาปนาตนเองเป็นประธานาธิบดี จนภายหลังก็กลายเป็นลุงโฮ หรือ “อังเคิลโฮ” ที่คนทั้งโลกรู้จัก และอยู่ในใจนักต่อสู้ชาวเวียดนามจนถึงทุกวันนี้
“ทุกท่านครับยังมีต่ออีกยาวนานนะครับ แต่ตอนนี้ขบวนของเรากำลังจะเข้าสู่นครเว้ ซึ่งในอดีตเคยเป็นนครหลวงของเวียดนาม โรงแรมกรีนระดับ 4 ดาว เป็นที่พักสำหรับพวกเราชาวคาราวานในค่ำคืนนี้”
เว้ ในยามเช้าวันใหม่อากาศสดใส เว้เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใจกลางของประเทศ อยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งทะเลมีพรมแดนติดกับประเทศลาวที่มีภูเขาทอดตั้งยาวตั้งแต่เหนือจรดใต้เรียกว่าตะวันตกเป็นภูเขาตะวันออกเป็นทะเลเมืองก็จะได้รับอิทธพลจากน้ำทะเลสูงมาก จะเห็นข่าวสารบ้านเมืองเกี่ยวกับน้ำท่วมตลอดไม่ว่าจะเป็น เมือง ดานัง หรือฮอยอัน ก็จะเกิดอุทกภัยแทบทุกปี แม้แต่วันนี้ที่คณะคาราวานมาเยือนในต้นฤดูหนาว ก็ยังเจอสภาพฝนตกตลอดคืน นครเว้มีแม่น้ำหอมไหลผ่าน ชาวบ้านจะเรียกว่าแม่น้ำเฮืองซึ่งมันก็แปลว่าหอมนั้นแหละครับ เหนือเมืองเว้ขึ้นไปเล็กน้อยสัก 7ก.ม. ก็จะ
มีวัดเทียนหมุ ตั้งอยู่ริมลำน้ำหอมมีเจดีย์ทรงแปดเหลี่ยมตั้งเด่นเป็นสง่าสูง 7 ชั้นวัดนี้เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองที่ศักดิ์สิทธิ์
ของชาวพุทธในเวียดนามที่นับถือมาก วัดเทียนมุแห่งนี้ก็มีข่าวโด่งดังไปทั่วโลกในยุคสงครามเวียดนาม เนื่องจากมีพระ
สงฆ์ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดเทียนหมุแห่งนี้เดินทางไปประท้วงรัฐบาลที่ไซ่ง่อนโดยใช้วิธีนั่งสมาธิกลางถนนแล้วใช้น้ำมันราดตัวก่อนจุดไฟเผาตัวตายเพราะว่า ถูกผู้นำรัฐบาลยุคนั้นกดขี่และย่ำยีให้เลิกนับถือศาสนาพุทธ หลักฐานที่ยังเห็นอยู่ก็คือ ซากรถยนต์ที่ท่านเจ้าอาวาสขับไปประท้วง และรูปถ่ายภาพที่ท่านถูกไฟเผาท่วมร่าง ที่เป็นภาพประวัติศาสตร์ ทุกท่านครับ เมืองเว้ในอดีตก็เป็นเมืองหลวงของเวียดนามในสมัยการปกครองโดยระบอบกษัตริย์ ซึ่งกษัตย์ องศ์ สุดท้ายก็คือ กษัตร์เบาได๋ นั่นแหละครับ
จากวัดเทียนหมุขบวนคาราวาน ก็ขับรถเข้าสู่เมืองเว้ วันนี้เราจะพาทุกท่าน ไปชมพระราชวังเว้ ที่กว้างขวางใหญ่โตมีกำแพงล้อมรอบยาวนับสิบ ก.ม. น่าจะได้ และจะเห็นธงแดงดาวเหลืองผืนใหญ่ปลิวไสวบนยอดเสาสูง
ภายในพระราชวังมีกำแพงหลายชั้นตัวพระราชวัง ถูกทำลายโดยการทิ้งระเบิดของไอ้กัน เอ๊ย …พวกอเมริกันแต่
ก็ยังเหลือซากบางส่วนให้พวกเราได้เดินเที่ยวชมประวัติศาสตร์ก่อนที่จะพากันช็อบปิ้งรอบบริเวณลานจอดรถตามระเบียบก่อนที่จะเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองดานังตามเส้นทางหมายเลข 1 เลียบทะเลจีนใต้ระยะทาง เพียง 120 ก.ม. แหม..คุณเชื่อมั๊ย ครับว่า 120 ก.ม. นับว่าเป็นการเดินทางที่น่าเบื่อ พอสมควรเพราะกฎหมายของประเทศเขาห้ามขับรถเร็วเกิน 60 ก.ม. ต่อชั่วโมง เนื่องจากรถมอเตอร์ไซค์และจักรยานของเขาเยอะมากครับ และปริมาณรถขนาดใหญ่ ก็เริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะรถใหม่ทั้งสิบล้อและเทรนเลอร์ แต่ไม่เป็นไรทุกคนก็เพลิดเพลินกับบรรยากาศในต่างแดนชมตึกรามบ้านช่องและวิวทิวทัศน์ รวมทั้งสุสานสอง ข้างทางนับร้อย ๆ แห่ง พร้อมฟังการรายงานจาก 01 ไปด้วย ก็ชิวๆ..ดีนะครับ
ที่เวียดนามนี่ดีอย่าง คือ อาหารทะเลถูกครับ แล้วก็อร่อยโดยเฉพาะร้านอาหารแถวอ่าวลังกอ ก่อนที่จะขับรถเข้าอุโมงค์ลอดใต้ภูเขา “ ไหเวิน” ที่มีความยาวถึง 6 ก.ม. เพิ่งจะเปิดใช้ เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมานี้เองพอพ้นอุโมงค์ทุกคน
ก็เห็นอ่าวดานังที่กว้างใหญ่
“ ดานัง ” เป็นเมืองเศรษฐกิจ ที่ดีมาก มีท่าเรือน้ำลึกที่สำคัญแม้จะสู้ท่าเรือแหลมฉบังของเราไม่ได้ แต่ก็มีหาดทรายที่ยาวต่อเนื่อง เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเวียดนามยามคลื่นลมสงบ ท่านครับ ประวัติศาสตร์ของเมืองดานังเกี่ยวกับการต่อสู้ในยุคสงครามของการล่าอาณาจักรของชาวตะวันตกไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศสจนถึงอเมริกา พวกนี้จะยกพลขึ้นบกที่ดานังนี่เองครับ แล้วก็เกิดสงครามจนต้องแบ่งประเทศออกเป็นสองฝ่ายคือ เวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้โดยใช้เส้นรุ้งที่17 บริเวณเมืองกว๋างจิ หรือเมืองกวางตรี เป็นจุด แบ่งเขต ภายหลังต่อมาผู้ที่สามารถรวมเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวกลับคืนมาได้ก็คือ โฮจิมินห์ครับ แม้ว่าลุงโฮจิมินห์จะหมดลมก่อนที่จะเห็นการรวมชาติสำเร็จก็ตาม แต่ทว่าลุงโฮนี้แหละเป็นผู้นำหรือเป็นตัวจักรสำคัญที่ทำให้เวียดนามรวมชาติได้ในปี 2518 แหมยิ่งเล่ายิ่งมันส์... เอาเป็นว่าเราไปเที่ยวต่อกันดีกว่า จากดานังเราจะไปเมืองฮอยอัน ซึ่งอยู่ไม่ไกลแล้วครับ
“ ฮอยอัน ” เป็นเมืองเก่าแก่และยังได้รับการประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกแห่งวัฒนธรรมมีชาว
เวียดนามเชื้อสายจีนอาศัยอยู่เยอะ มีแม่น้ำทูโบนไหลผ่าน ทุกท่านครับเมืองนี้จะเผชิญเหตุการณ์ภัยธรรมชาติและ อุทกภัยทุกปีก็ว่าได้ ในประวัติศาสตร์อันยาวนานเขาเล่ากันว่าสมัยก่อนจะมีพ่อค้าชาวโปรตุเกส ชาวจีน ชาวญี่ปุ่นมาจอดเรือขนถ่ายสินค้าและแลกเปลี่ยนกันที่นี่ครับ จนต่อมาเวลายาวนานนับศตวรรษปากแม่น้ำก็ตื้นเขินจนเรือใหญ่เข้าไม่ได้ จึงย้ายท่าเรือขนถ่ายสินค้าไปที่ดานังแทน ปัจจุบันฮอยอันก็ได้รับการอนุรักษ์ให้เป็นเมืองโบราณ รวมทั้งอาคารบ้านเมือง วัดจีน และสะพานญี่ปุ่น ทำให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมราวกับได้ย้อนยุคไปสู่สมัยโบราณ จนทำให้เมืองนี้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น พิพิธภัณฑ์ ที่มีชีวิต
เมืองนี้ก็เป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งของชาวไทยและยิ่งเป็นที่โด่งดังยิ่งขึ้น ก็จาก ละครทีวีไทยเรื่อง “ฮอยอัน ฉันรักเธอ” นั่นไงครับ ทำให้ชาวไทยเดินทางมาเที่ยวเมืองนี้ล้นหลามเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสะพานญี่ปุ่นที่เป็นสัญลักษณ์แห่งฮอยอัน และเป็นสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ ผสมผสานระหว่างจีนและญี่ปุ่นที่ทุกท่านต้องถ่ายรูปเป็นที่ระลึก นอกจากถ่ายรูปกันแล้วก็ไม่พลาด พี่ไทยเราก็ช็อบปิ้งกันอย่างสบายอุรา ก่อนที่จะเดินทางกลับกันในวันรุ่งขึ้นครับ
วันนี้คณะเราเดินทางออกจากฮอยอันก็วิ่งผ่านดานัง มุ่งหน้าสู่เมืองกองตุม นับว่าเป็นเส้นทางสายธรรมชาติที่สวยงามมีน้ำตกขนาดใหญ่ริมทางให้แวะพักชมและถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน คลายเหนื่อยกันด้วยกาแฟร้อน ๆ จากทีมงานบริการ ทำให้ทุกท่านสดชื่นขึ้น ก่อนขับรถต่อเพื่อเข้าถึงเมืองกองตุมในยามเย็นแล้วพักค้างแรมอีกสักคืนก่อนที่จะเดินทางเข้าสู่ประเทศลาวในวันรุ่งขึ้นที่ด่านบ่อเกลือ แขวงอัตตะปือ เป็นเมืองชายแดนลาว เวียดนามที่อยู่ใต้สุดของประเทศลาว บนเส้นทางนี้ เราจะได้เห็นธรรมชาติ ของป่าเขาที่ป่าไม้ยังสมบูรณ์และสวยงามมาก และยิ่งไปกว่านั้นเราจะได้สัมผัสกับดินแดนแห่ง “ มหานที สีทันดร ” แห่งแม่น้ำโขงชมน้ำตกคอนพะเพ็ง ที่มีสมญานามว่า “ไนแองการ่าแห่งเอเชีย ”
ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกับเขตแดนแห่งประเทศลาว กัมพูชา ก่อนที่จะเดินทางกลับสู่ประเทศไทยที่ด่านช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี
โดยสวัสดิภาพ
“ตามเบียด.....แฮนกัพไล” ลาก่อน...แล้วพบกันใหม่
สมศักดิ์ ดีไสว
น้ำตกเซกะตามในลาว แขวงเซกอง

พระธาตุเก่าแก่เมืองอัตตะปือ





